ข้อบังคับ
มูลนิธิสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
หมวดที่ ๑
ชื่อ เครื่องหมายและสำนักงานที่ตั้ง
ข้อ ๑. มูลนิธินี้ชื่อว่า “มูลนิธิสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี”
๑.๑ ชื่อเต็มภาษาอังกฤษ “CHULALONGKORN UNIVERSITY ALUMNI ASSOCIATION FOUNDATION UNDER THE ROYAL PATRONAGE OF H.R.H. PRINCESS MAHA CHAKRI SIRINDHORN”
๑.๒ ชื่อย่อภาษาไทย “มสนจ.”
๑.๓ ชื่อย่อภาษาอังกฤษ “CUAAF”
ข้อ ๒. เครื่องหมายมูลนิธินี้ คือ เครื่องหมายสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี(ตามรูปที่ปรากฏด้านล่างนี้)
ข้อ ๓. สำนักงานของมูลนิธิตั้งอยู่ ณ บริเวณที่ตั้งสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
หมวดที่ ๒
วัตถุประสงค์
ข้อ ๔. วัตถุประสงค์ของมูลนิธินี้ คือ
๔.๑ ให้การช่วยเหลือและสนับสนุนส่งเสริมนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในด้านต่าง ๆ ได้แก่
๔.๑.๑ ให้ทุนการศึกษาแก่นิสิตที่เรียนดีและยากจน (ขัดสนด้านการเงิน)
๔.๑.๒ สนับสนุนอาหารกลางวันสำหรับนิสิตที่ขาดแคลน
๔.๑.๓ สนับสนุนส่งเสริมการพัฒนานิสิตทั้งด้านวิชาการ และกิจกรรม
๔.๑.๔ สนับสนุนสวัสดิการอื่นที่จำเป็นโดยเฉพาะในกรณีเร่งด่วน
๔.๒ เพื่อดำเนินการหรือร่วมมือกับองค์การการกุศล เพื่อการกุศลและองค์การสาธารณประโยชน์ เพื่อสาธารณประโยชน์
ส่งเสริมการศึกษา เผยแพร่วิทยาการ การจัดนิทรรศการ และกิจกรรมอันเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
๔.๓ ไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ประการใด
หมวดที่ ๓
ทุน ทรัพย์สิน การได้มาซึ่งทรัพย์สิน
ข้อ ๕. ทรัพย์สินของมูลนิธิมีทุนเริ่มแรก คือ เงินสดจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท (สองแสนบาทถ้วน)
ข้อ ๖. มูลนิธิอาจได้มาซึ่งทรัพย์สินในกรณีดังต่อไปนี้
๖.๑ เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้ยกให้โดยพินัยกรรมหรือนิติกรรมอื่นๆ โดยมิได้มีเงื่อนไขผูกพันให้มูลนิธิต้องรับผิดชอบในหนี้สินหรือภาระติดพันอื่นใด
๖.๒ เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคให้
๖.๓ ดอกผลซึ่งเกิดจากทรัพย์สินของมูลนิธิ
๖.๔ รายได้อันเกิดจากการจัดกิจกรรมของมูลนิธิ
หมวดที่ ๔
คุณสมบัติและการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ
ข้อ ๗. กรรมการของมูลนิธิต้องมีคุณสมบัติดังนี้
๗.๑ มีอายุไม่ต่ำกว่า ๒๕ ปีบริบูรณ์
๗.๒ ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย หรือไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ
๗.๓ ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ
ข้อ ๘. กรรมการของมูลนิธิพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
๘.๑ ถึงคราวออกตามวาระ
๘.๒ ตายหรือลาออก
๘.๓ ขาดคุณสมบัติตามข้อบังคับข้อ ๗
๘.๔ เป็นผู้มีความประพฤติและปฏิบัติที่เสื่อมเสีย และคณะกรรมการมูลนิธิมีมติให้ออก โดยมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของคณะกรรมการมูลนิธิ
๘.๕ เมื่อประธานกรรมการโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการมูลนิธิ จำนวนหนึ่งในสาม ให้ออก
หมวดที่ ๕
การดำเนินงานของคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ ๙. มูลนิธิดำเนินการโดยกรรมการมูลนิธิ มีจำนวนไม่น้อยกว่า ๕ คน แต่ไม่เกิน ๑๒ คน
ข้อ ๑๐. คณะกรรมการมูลนิธิประกอบด้วย ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ เลขานุการ เหรัญญิก และกรรมการอื่นๆ ตามจำนวนที่เห็นสมควรตามข้อบังคับข้อ ๙
ข้อ ๑๑. การแต่งตั้งคณะกรรมการมูลนิธิให้ปฏิบัติดังนี้ ให้คณะกรรมการชุดที่ดำรงตำแหน่งอยู่เลือกตั้งประธานกรรมการมูลนิธิ และกรรมการอื่นๆ ตามจำนวนที่เห็นสมควรตามข้อบังคับ แต่ในวาระเริ่มแรกให้คณะกรรมการผู้ริเริ่มจัดตั้งมูลนิธิเป็นผู้เลือกตั้งคณะกรรมการดำเนินงานของมูลนิธิขึ้นคณะหนึ่ง
ข้อ ๑๒. กรรมการดำเนินงานมูลนิธิอยู่ในตำแหน่งคราวละ ๔ ปี
เพื่อให้ดำเนินงานมูลนิธิได้เป็นไปโดยติดต่อกันเมื่อคณะกรรมการดำเนินงานของมูลนิธิได้ปฏิบัติหน้าที่มาครบ ๒ ปี (ครึ่งหนึ่งของวาระการดำรงตำแหน่ง) ให้มีการจับสลากออกไปหนึ่งในสองของจำนวนกรรมการมูลนิธิได้รับเลือกเป็นกรรมการดำเนินงานของมูลนิธิครั้งแรกและให้ถือว่าเป็นการออกตามวาระ
ข้อ ๑๓. การแต่งตั้งคณะกรรมการมูลนิธิ ให้ถือเสียงข้างมากของที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิเป็น มติ ที่ประชุม
ข้อ ๑๔. กรรมการมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระหรือโดยการจับสลากในวาระแรก อาจได้รับแต่งตั้งเข้าเป็นกรรมการมูลนิธิได้อีก
ข้อ ๑๕. ในกรณีที่กรรมการมูลนิธิพ้นจากตำแหน่ง ให้กรรมการมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่กรรมการมูลนิธิต่อไปจนกว่ามูลนิธิจะได้รับแจ้งการจดทะเบียนกรรมการมูลนิธิที่ตั้งใหม่
ข้อ ๑๖. ถ้าตำแหน่งกรรมการมูลนิธิว่างลง ให้คณะกรรมการมูลนิธิที่เหลืออยู่แต่งตั้งบุคคลอื่นเป็นกรรมการมูลนิธิ แทนตำแหน่งที่ว่าง ในกรณีนี้กรรมการมูลนิธิที่ได้รับแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งเท่าวาระของผู้ที่ตนแทน
หมวดที่ ๖
อำนาจหน้าที่คณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ ๑๗. คณะกรรมการมูลนิธิมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินกิจการของมูลนิธิตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ และภายใต้ข้อบังคับนี้ ให้มีอำนาจหน้าที่ต่างๆ ดังต่อไปนี้
๑๗.๑ กำหนดนโยบายของมูลนิธิ และดำเนินการตามนโยบายนั้น
๑๗.๒ ควบคุมการเงินและทุนทรัพย์สินต่างๆ ของมูลนิธิ
๑๗.๓ เสนอรายงานกิจการ รายงานการเงิน และบัญชีงบดุลรายได้-รายจ่าย ต่อนายทะเบียน
๑๗.๔ ดำเนินการให้เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ และวัตถุประสงค์ของข้อบังคับนี้
๑๗.๕ ตราระเบียบเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของมูลนิธิ
๑๗.๖ แต่งตั้งหรือถอดถอนคณะอนุกรรมการคณะหนึ่งหรือหลายคณะ เพื่อดำเนินการเฉพาะอย่างของมูลนิธิภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการมูลนิธิ
๑๗.๗ เชิญผู้ทรงคุณวุฒิ หรือบุคคลที่ทำประโยชน์ให้มูลนิธิเป็นพิเศษ เป็นกรรมการกิตติมศักดิ์
๑๗.๘ เชิญผู้ทรงเกียรติเป็นผู้อุปถัมภ์มูลนิธิ
๑๗.๙ เชิญผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิ
๑๗.๑๐ แต่งตั้งหรือถอดถอนเจ้าหน้าที่ประจำของมูลนิธิ
๑๗.๑๑ การดำเนินการตามข้อ ๑๗.๗ , ๑๗.๘ และ ๑๗.๙ ต้องเป็นมติเสียงข้างมากของที่ประชุม
ข้อ ๑๘. ประธานกรรมการมูลนิธิ มีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
๑๘.๑ เป็นประธานของการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
๑๘.๒ สั่งเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
๑๘.๓ เป็นผู้แทนมูลนิธิในการติดต่อกับบุคคลภายนอก และในการทำนิติกรรมใดๆ ของมูลนิธิ หรือการลงลายมือชื่อในเอกสาร ตราสารและสรรพหนังสืออันเป็นหลักฐานของมูลนิธิและในทางอรรถคดีนั้น เมื่อประธานกรรมการมูลนิธิหรือผู้ทำการแทนหรือกรรมการมูลนิธิ ๒ คน ได้ลงลายมือชื่อแล้วจึงเป็นอันใช้ได้
๑๘.๔ ปฏิบัติการอื่นๆ ตามข้อบังคับและมติของคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ ๑๙. ให้รองประธานกรรมการมูลนิธิทำหน้าที่แทนประธานกรรมการมูลนิธิ เมื่อประธานไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้หรือในกรณีที่ประธานมอบหมายให้ทำการแทน
ข้อ ๒๐. ถ้าประธานกรรมการมูลนิธิและรองประธานกรรมการมูลนิธิ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในการประชุมคราวหนึ่งคราวใดได้ ให้ที่ประชุมเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิคนใดคนหนึ่งเป็นประธานสำหรับการประชุมคราวนั้น
ข้อ ๒๑. เลขานุการมูลนิธิมีหน้าที่ควบคุมกิจการ และดำเนินการประจำของมูลนิธิ ติดต่อประสานงานทั่วไป รักษาระเบียบข้อบังคับของมูลนิธิ นัดประชุมคณะกรรมการตามคำสั่งของประธานมูลนิธิและทำรายงานประชุม ตลอดจนรายงานกิจการของมูลนิธิ
ข้อ ๒๒. เหรัญญิกมีหน้าที่ควบคุมการเงิน ทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนบัญชีและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง และเป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด
ข้อ ๒๓. สำหรับกรรมการตำแหน่งอื่นๆ ให้มีหน้าที่ตามที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนดโดยทำเป็นคำสั่งระบุอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจน
ข้อ ๒๔. คณะกรรมการมูลนิธิมีสิทธิเข้าร่วมประชุมกรรมการ หรืออนุกรรมการอื่นๆ ของมูลนิธิได้
หมวดที่ ๗
อนุกรรมการ
ข้อ ๒๕. คณะกรรมการมูลนิธิอาจแต่งตั้งหรือถอดถอนคณะอนุกรรมการได้ตามความเหมาะสม โดยจะแต่งตั้งให้เป็นคณะอนุกรรมการประจำ หรือเพื่อการใดเป็นกรณีพิเศษเฉพาะคราวก็ได้ และในกรณีที่คณะกรรมการมูลนิธิไม่ได้แต่งตั้งประธานอนุกรรมการ เลขานุการหรืออนุกรรมการในตำแหน่งอื่นไว้ ก็ให้อนุกรรมการแต่ละคณะแต่งตั้งกันเองดำรงตำแหน่งดังกล่าวได้
ข้อ ๒๖. อนุกรรมการอยู่ในตำแหน่งจนกว่าจะเสร็จงานที่ได้รับมอบหมายให้กระทำ ส่วนคณะอนุกรรมการประจำอยู่ในตำแหน่งตามเวลาที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด ซึ่งถ้ามิได้กำหนดไว้ก็ให้อยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่าวาระของคณะกรรมการมูลนิธิซึ่งเป็นผู้แต่งตั้ง และอนุกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งอาจได้รับการแต่งตั้งอีกได้
๒๖.๑ อนุกรรมการมีหน้าที่ดำเนินการตามที่คณะกรรมการมูลนิธิมอบหมาย
๒๖.๒ อนุกรรมการมีหน้าที่เสนอความคิดเห็นต่อคณะกรรมการมูลนิธิเกี่ยวกับงานที่ได้รับมอบหมาย
หมวดที่ ๘
การประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ ๒๗. คณะกรรมการมูลนิธิจะต้องจัดให้มีการประชุมสามัญประจำปี ทุกๆ ปี ภายในเดือนธันวาคม และต้องมีกรรมการมูลนิธิเข้าประชุมอย่างน้อยกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม
ข้อ ๒๘. การประชุมวิสามัญอาจมีได้ในเมื่อประธานกรรมการมูลนิธิ หรือเมื่อคณะกรรมการมูลนิธิตั้งแต่ ๒ คน ขึ้นไป แสดงความประสงค์ไปยังประธานกรรมการมูลนิธิ หรือผู้ทำการแทนขอให้มีการประชุมก็ให้เรียกประชุมวิสามัญได้
ข้อ ๒๙. กำหนดการประชุมและองค์ประชุมของคณะอนุกรรมการให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการมูลนิธิจะกำหนด ซึ่งถ้ามิได้กำหนดไว้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกำหนดการประชุมให้คณะอนุกรรมการตกลงกันเอง และในส่วนที่เกี่ยวกับองค์ประชุมให้ใช้ข้อ ๒๗ บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๓๐. ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิหรือคณะอนุกรรมการ หากมิได้มีข้อบังคับกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น มติของที่ประชุมให้ถือเอาคะแนนเสียงข้างมาก ในกรณีที่มีคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมเป็นผู้ชี้ขาด กิจการใดที่เป็นงานประจำหรือกิจการเล็กน้อย ประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจสั่งให้ใช้วิธีสอบถามมติทางหนังสือแทนการเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ แต่ประธานกรรมการมูลนิธิต้องรายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิในคราวต่อไป ถึงมติและกิจการที่ได้ดำเนินการไปตามมตินั้น กิจการใดเป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อยหรือไม่ ย่อมอยู่ในดุลยพินิจของประธานกรรมการมูลนิธิ
ข้อ ๓๑. ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิหรือคณะอนุกรรมการ ประธานกรรมการมูลนิธิหรือประธานที่ประชุมมีอำนาจเชิญหรืออนุญาตให้บุคคลที่เห็นสมควรเข้าร่วมประชุมในฐานะแขกผู้มีเกียรติหรือ ผู้สังเกตการณ์ หรือเพื่อชี้แจงหรือเพื่อให้คำปรึกษาแก่ที่ประชุมได้
หมวดที่ ๙
การเงิน
ข้อ ๓๒. ประธานกรรมการมูลนิธิ หรือรองประธานกรรมการมูลนิธิในกรณีทำหน้าที่แทนมีอำนาจสั่งจ่ายเงินได้คราวละไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ (หนึ่งแสนบาทถ้วน) ถ้าเกินกว่าจำนวนดังกล่าวต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมาก เว้นแต่กรณีจำเป็นและเร่งด่วนให้อยู่ในดุลยพินิจของประธานกรรมการมูลนิธิที่จะอนุมัติให้จ่ายได้ แต่ต้องรายงานให้คณะกรรมการมูลนิธิทราบในการประชุมคราวต่อไป
ข้อ ๓๓. เหรัญญิกมีอำนาจเก็บรักษาเงินสดได้ครั้งละไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน)
ข้อ ๓๔. เงินสดของมูลนิธิหรือเอกสารสิทธิ ต้องนำฝากไว้กับธนาคาร หรือสถาบันการเงินอื่นใดที่ธนาคารให้การค้ำประกัน หรือสหกรณ์ออมทรัพย์ แล้วแต่คณะกรรมการมูลนิธิจะเห็นสมควร
ข้อ ๓๕. การสั่งจ่ายเงินโดยเช็คหรือตั๋วจ่ายเงิน จะต้องมีลายมือชื่อของประธานกรรมการมูลนิธิ หรือผู้ทำการแทนกับเลขานุการ หรือเหรัญญิกลงนามทุกครั้งจึงจะเบิกจ่ายได้
ข้อ ๓๖. ในการใช้จ่ายเงินของมูลนิธิ รวมทั้งค่าใช้จ่ายประจำสำนักงาน ให้จ่ายเพียงดอกผลอันเกิดจากทรัพย์สินที่เป็นทุนของมูลนิธิ และเงินที่ผู้บริจาคมิได้แสดงเจตนาให้เป็นเงินสมทบทุนโดยเฉพาะ และรายได้อันเกิดจากการจัดกิจกรรมของมูลนิธิ
ข้อ ๓๗. ให้คณะกรรมการมูลนิธิวางระเบียบเกี่ยวกับการเงิน การบัญชี และทรัพย์สินของมูลนิธิตลอดจนกำหนดอำนาจหน้าที่ต่างๆ เกี่ยวกับการรับ และจ่ายเงินนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ
ข้อ ๓๘. ให้คณะกรรมการของมูลนิธิกำหนดรอบระยะเวลาบัญชี และจัดทำรายงานสถานะการเงินของมูลนิธิในรอบระยะเวลาบัญชีที่ผ่านมา เสนอต่อที่ประชุมในการประชุมสามัญประจำปี
ข้อ ๓๙. ให้มีผู้สอบบัญชีของมูลนิธิ ซึ่งคณะกรรมการมูลนิธิเห็นชอบและแต่งตั้งจากบุคคลที่มิใช่กรรมการหรือเจ้าหน้าที่อื่นของมูลนิธิ โดยจะดำรงตำแหน่งกิตติมศักดิ์ หรือได้รับค่าตอบแทนอย่างไรสุดแต่ที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิจะกำหนด
ผู้สอบบัญชีมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบบัญชีของมูลนิธิ และรับรองบัญชีงบดุลประจำปีที่คณะกรรมการมูลนิธิจะต้องรายงานต่อนายทะเบียน
ผู้สอบบัญชีมีสิทธิตรวจสอบบัญชีและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสอบถามกรรมการมูลนิธิและเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิในเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวกับการเงิน การบัญชี และเอกสารดังกล่าวได้
หมวดที่ ๑๐
การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ
ข้อ ๔๐. การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับจะกระทำได้โดยเฉพาะที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ ซึ่งต้องมีกรรมการมูลนิธิเข้าประชุมไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด และมติให้แก้ไข หรือเพิ่มเติมข้อบังคับต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการที่เข้าประชุม
หมวดที่ ๑๑
การเลิกมูลนิธิ
ข้อ ๔๑. ถ้ามูลนิธิต้องเลิกด้วยเหตุผลใดก็ตาม ให้ทรัพย์สินทั้งหมดของมูลนิธิที่เหลืออยู่ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
ข้อ ๔๒. การสิ้นสุดของมูลนิธินั้นนอกจากที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว ให้มูลนิธิเป็นอันสิ้นสุดลงโดยมิต้องให้ศาลสั่งเลิกด้วยเหตุต่อไปนี้
๔๒.๑ เมื่อมูลนิธิได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลแล้วไม่ได้รับทรัพย์สินตามคำมั่นเต็มจำนวน
๔๒.๒ เมื่อกรรมการมูลนิธิจำนวนสองในสามมีมติให้ยกเลิก
๔๒.๓ เมื่อมูลนิธิไม่อาจหากรรมการได้ครบตามจำนวนกรรมการที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ
๔๒.๔ เมื่อมูลนิธิไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ
หมวดที่ ๑๒
บทเบ็ดเตล็ด
ข้อ ๔๓. การตีความในข้อบังคับของมูลนิธิ หากเป็นที่สงสัยให้คณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมากของจำนวนกรรมการที่มีอยู่เป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ ๔๔. ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมูลนิธิมาใช้บังคับในเมื่อข้อบังคับของมูลนิธิมิได้กำหนดไว้
ข้อ ๔๕. มูลนิธิต้องไม่ดำเนินการเพื่อหาประโยชน์มาแบ่งปันกัน หรือเพื่อการค้าหากำไร หรือเพื่อบุคคลใดนอกจากเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิเท่านั้น
นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์
ประธานมูลนิธิสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
ผู้จัดทำข้อบังคับ