เรียบเรียงใหม่จากบทความของ อาจารย์สวัสดิ์ จงกล

ผู้เชี่ยวชาญเอกสารประวัติจุฬาฯ ประจำหอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อักษรศาสตร์ ๒๔๙๒)

               จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยแรกแห่งกรุงสยามจึงมีประวัติความเป็นมายาวนาน กล่าวคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้จัดตั้ง สำนักฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน ที่ตึกยาวใกล้ประตูพิมานไชยศรีในพระบรมมหาราชวัง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๒ ต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนมหาดเล็ก เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๔๕ หลังจากนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเพียง ๕๒ วัน ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กขึ้นเป็นสถาบันอุดมศึกษา พระราชทานนามว่า โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๓ ต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดกล้าฯ ให้ประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ขึ้นเป็น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๙

               ความคิดที่จะให้มีสมาคมนักเรียนเก่าของบุรพสถาบันของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีมานานแล้ว นักเรียนเก่าโรงเรียนมหาดเล็กได้เคยออกวารสารของโรงเรียนเพื่อสื่อสารระหว่างนักเรียนเก่าและนักเรียนปัจจุบัน รวมทั้งครูอาจารย์ที่สั่งสอนนักเรียนเหล่านั้น ความคิดเช่นนี้สืบต่อมาถึงนักเรียนเก่าโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ จนกระทั่งปลายปีพ.ศ. ๒๔๘๘ นิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่ง ประกอบด้วย

๑. ศ.ม.ร.ว.สุมนชาติ สวัสดิกุล (คณะอักษรศาสตร์)

๒. ศ.ดร.คลุ้ม วัชโรบล (คณะวิทยาศาสตร์)

๓. คุณวิชา เศรษฐบุตร (คณะวิศวกรรมศาสตร์)

๔. อาจารย์เปลื้อง ณ นคร (คณะอักษรศาสตร์)

๕. คุณจำรัส สุขุมวัฒน์ (คณะวิศวกรรมศาสตร์)

๖. ศ.ทองศุข พงศ์ทัต (คณะวิทยาศาสตร์)

๗. พ.อ.ประเสริฐ บัวบุศย์ (คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์)

๘. คุณปรีชา อมาตยกุล (คณะวิทยาศาสตร์)

               ได้ร่วมประชุมหารือเพื่อจัดตั้งสมาคมนิสิตเก่าที่ร้านอาหาร “ไชยณรงค์” ซึ่งเป็นกิจการหนึ่งของนิสิตเก่าผู้เคยดำรงตำแหน่งนายกสโมสรนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ส.จ.ม.) การประชุมครั้งนั้นยุติลงด้วยความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าจะต้องดำเนินการจัดตั้งสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ได้ จึงได้มีการประชุมหารือกันอีกหลายครั้ง แม้ว่าจะเป็นเวลาค่ำคืนซึ่งต้องพรางแสงไฟเพราะเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

               กระทั่งวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๙ เวลา ๑๖.๐๐ น. คณะผู้ก่อตั้งสมาคมนิสิตเก่าผู้บริหารมหาวิทยาลัย และคณาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน ๑,๓๕๐ คน ได้เข้าประชุมที่หอประชุมมหาวิทยาลัยโดยมี ม.จ.รัชฎาภิเษก โสณกุล อธิการบดีในขณะนั้นทรงเป็นประธาน ม.จ.รัชฎาภิเษกทรงกล่าวว่า มีความพอพระทัยเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นบรรดานิสิตเก่าทั้งหลายได้รวบรวมกัน มีความสามัคคีกันจนสามารถก่อตั้งสมาคมนิสิตเก่าขึ้นมาได้ ที่ประชุมใหญ่ในวันนั้นได้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่ง เรียกว่าคณะกรรมการอำนวยการสมาคม และตั้งชื่อสมาคมว่า “สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ได้ขอจดทะเบียนต่อทางการเป็นที่เรียบร้อย มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความสามัคคีและสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน ส่งเสริมการกีฬา การบันเทิง การศึกษา และเผยแพร่วิทยาการส่งเสริมเกียรติแห่งสถานศึกษา และสมาชิกผู้ได้ประกอบกิจอันเป็นประโยชน์มีชื่อเสียง พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ซึ่งในครั้งนั้นยังดำรงพระยศเป็น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร เป็นนายกสมาคมพระองค์แรก และมีคณะกรรมการอำนวยการชุดแรกดังรายนามต่อนี้

คณะกรรมการสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. ๒๔๘๙
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร นายกสมาคม
ศ.ดร.คลุ้ม วัชโรบล อุปนายก
นายเปลื้อง ณ นคร เลขาธิการ
นายวิชา เศรษฐบุตร บรรณารักษ์
นายไชยณรงค์ ณ เชียงใหม่ เหรัญญิก
ร.อ.ประเสริฐ บัวบุษย์ ปฏิคม
ม.ร.ว.ชนาญวัต เทวกุล นายทะเบียน
น.พ.จรัลพัฒน์ อิศรางกูร ณ อยุธยา แผนกกีฬากลางแจ้ง
ม.ร.ว.แหลมฉาน หัสดินทร แผนกกีฬาในร่ม
นายบุญมาก รุนสำราญ แผนกการบันเทิง
นายแพทย์ อิศระ ยุกตะนันท์ แผนกโฆษณาและเผยแพร่วิชาการ
ม.ร.ว. สุมนชาติ สวัสดิกุล สาราณียกร
พระยาสุนทรพิพิธ กรรมการกลาง
พระชาญวิธีเวช กรรมการกลาง
พ.ต.ท. พัฒน์ นิลวัฒนานนท์ กรรมการกลาง
นายจำลอง สุวคนธ์ กรรมการกลาง
นายตริน บุนนาค กรรมการกลาง
นายทองสุข พงศทัต กรรมการกลาง
นายศิริ สุภางคเสน กรรมการกลาง

               ระเบียบข้อบังคับของสมาคมในขณะนั้นมีสาระสำคัญว่า สมาชิก คือ ผู้ที่ผ่านการเป็นนิสิตคณะต่างๆ และคณาจารย์ ทั้งนี้ สมาชิกไม่ต้องเสียค่าบำรุงแต่อย่างใด ส่วนรายได้นั้น สมาคมจัดหารายได้จากการจัดงานต่างๆ และจากการนำสมาชิกเที่ยวในต่างจังหวัด ขณะที่สำนักงานของสมาคมยังคงใช้ร้านไชยณรงค์ เป็นที่ประชุมดำเนินการตลอดมาเป็นระยะเวลา ๒ ปี ค่าใช้จ่ายมีแต่ค่ากระดาษ ดินสอ และไปรษณียากร ซึ่งคณะกรรมการอำนวยการได้ช่วยกันออกเอง ไม่มีเสมียน และไม่มีการบันทึกการประชุมแต่อย่างใด

สำหรับการดำเนินงานที่สำคัญของคณะกรรมการสมาคมในแต่ละปีนับแต่จัดตั้งสมาคม มีดังต่อไปนี้

 ปีพ.ศ.  การดำเนินงาน
๒๔๘๙ ๑๕ กรกฎาคม คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ได้รับสมาคมไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ตามที่คณะกรรมการอำนวยการได้ทำเรื่องกราบบังคมทูลให้สมาคมนี้อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ นับเป็นมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม
๒๔๙๐
  • สมาคมได้จัดให้มีนิตยสาร “ชุมนุมจุฬาฯ” ขึ้นเป็นครั้งแรกมีกำหนดออกปีละ ๑ เล่ม โดยมี ม.ร.ว. สุมนชาติ สวัสดิกุล เป็นสาราณียกรคนแรก
  • จัดตั้งเงินทุนขึ้นจำนวนหนึ่ง เพื่อช่วยเหลือการศึกษาในมหาวิทยาลัยซึ่งองค์นายกสมาคมได้ประทานนามว่า ทุนจุฬาสงเคราะห์ มีลักษณะเป็นทุนเพื่อให้สามารถนำทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยมาใช้ประโยชน์ได้ทันที แทนที่จะเป็นมูลนิธิซึ่งต้องจดทะเบียนตามกฎหมายและใช้ได้แต่ดอกผล ทำให้ไม่ทันที่จะให้เกิดประโยชน์ได้ตามประสงค์ ทุนนี้ได้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่นิสิตโดยลำดับตลอดมา และหวังว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่มหาวิทยาลัยในด้านอื่น ๆ ต่อไปในอนาคตด้วย
๒๔๙๑ สมาคมได้เริ่มจัดงาน “ชมพูบอล” ขึ้นเป็นปีแรกโดยขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตใช้สวนอัมพรเป็นที่จัดงาน ทั้งนี้เพื่อหารายได้สมทบทุนจุฬาสงเคราะห์ และเพื่อเป็นการเผยแพร่พระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว งานนี้ต่อมาภายหลังเรียกชื่อว่างาน “วันจุฬาลงกรณ์”
๒๔๙๒
  • สมาคมได้รับความกรุณาจากมหาวิทยาลัย โดย ม.จ.รัชฎาภิเศก โสณกุล อธิการบดีในขณะนั้น ประทานให้อาคารเก่าซึ่งเคยเป็นบ้านพักของผู้บัญชาการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, อาคารเรียนของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์, สโมสรอาจารย์ และเคยเป็นที่ตั้งกองบังคับการสารวัตรทหารผสมไทย – สหประชาชาติในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองยุติลงใหม่ๆ ให้เป็นที่ตั้งสำนักงานของสมาคม โดยสมาคมมีสิทธิใช้พื้นที่ได้เพียงส่วนหนึ่งของอาคาร คือพื้นชั้นล่าง และชั้นที่ ๒ ส่วนชั้นบนที่เหลือได้สงวนไว้ในกิจการของมหาวิทยาลัย อาคารหลังนี้ คณะกรรมการสมาคมได้พยายามปรับปรุงซ่อมแซม และดัดแปลงให้เป็นสโมสรเท่าที่จะทำได้ และใช้เป็นอาคารของสมาคมเรื่อยมานาน ๑๓ ปี
  • ๓๑ ธันวาคม  คณะกรรมการได้เริ่มจัดงาน “ชุมนุมจุฬา” เพื่อให้บรรดานิสิตเก่าทั้งหลายได้มีโอกาสกลับมาพบปะสนทนากัน และกลับมาเยี่ยม “บ้าน” เดิม ซึ่งต่อมาสมาคมได้จัดให้มีงานนี้ขึ้นเป็นประจำทุกปี
๒๔๙๓ พระยารามราชภักดีได้รับเลือกให้เป็นนายกสมาคม มีการเปลี่ยนแปลงระเบียบข้อบังคับหลายประการ เพราะสมาคมมีภาระทางการเงิน โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาอาคารสมาคม โดยกำหนดให้นิสิตเก่าที่จะเป็นสมาชิกสมาคม ต้องเสียค่าบำรุงตลอดชีพคนละ ๒๐ บาท และได้จัดให้มีนิตยสาร “ชุมนุมจุฬาฯ” ปีละ ๔ เล่ม โดยขอให้สมาชิกเสียค่าบำรุงเพิ่มอีกปีละ ๑๒ บาท การแก้ไขระเบียบนี้ยังไม่ช่วยให้กิจการของสมาคมดีขึ้นเท่าที่ควร
๒๔๙๔ พระยารามราชภักดีได้รับเลือกให้เป็นนายกสมาคมต่ออีกวาระหนึ่ง มีการแก้ไขข้อบังคับให้สมาชิกที่มาใช้สโมสรเป็นประจำ เสียค่าบำรุงสโมสรเดือนละ ๕ บาท หรือปีละ ๖๐ บาท
๒๔๙๕ – ๒๔๙๖
  • ฐานะของสมาคมไม่ดีขึ้น แต่นับว่าโชคดีที่ได้สมาชิกผู้เข้มแข็ง ๒ ท่านเข้ามาช่วยเหลือ คือ นายประเก็บ คล่องตรวจโรค ได้เข้ามาช่วยเหลือในด้านการทำหนังสือ แบ่งเบาภาระด้านการเงิน รวมทั้งได้ปรับปรุงคุณภาพหนังสือให้ดียิ่งขึ้น ทำให้นิตยสาร “ชุมนุมจุฬาฯ” เป็นที่แพร่หลายไปมากในหมู่สมาชิก อีกท่านหนึ่งคือ นายขจร สุขพานิช ซึ่งได้สละเงินส่วนตัวจัดทำสนามเทนนิสให้แก่สมาคม โดยใช้เงินไม่น้อยกว่า ๕๐,๐๐๐ บาท สนามนั้นอยู่ด้านหลังสำนักงานเลขาธิการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขณะนี้คงมองเห็นเป็นสนามหญ้าสีเขียวพื้นราบเรียบข้างบ่อน้ำที่เป็นแอ่งลึก และไม่อาจจะถมให้เรียบร้อยได้ในสมัยนั้น จึงได้จัดทำเป็นสระน้ำเล็กๆ จนกลายเป็นที่สวยงามไปแล้วในขณะนี้ นอกจากนั้นยังได้ต่อชายคาอาคารและปรับปรุงสถานที่ภายใน จัดโต๊ะบิลเลียด และสถานที่รับประทานอาหาร ซึ่งในส่วนนี้ นายขจร ได้สละเงินให้แก่สมาคมไม่น้อยกว่า ๓๐,๐๐๐ บาท สมาคมยังคงระลึกถึงอุปการะคุณอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้
  • พ.ศ.๒๔๙๖ มีการแก้ไขข้อบังคับในส่วนค่าบำรุงอีก โดยกำหนดให้สมาชิกต้องชำระค่าขึ้นทะเบียนคนละ ๒๐ บาท ค่าบำรุงคนละ ๔๐ บาทต่อปี และค่าบำรุงตลอดชีพคนละ ๑,๐๐๐ บาท อย่างไรก็ดี ในปีนี้ มหาวิทยาลัยได้แจ้งให้สมาคมทราบว่า ต้องการอาคารหลังนี้คืน เพื่อใช้บริเวณนี้ก่อสร้างหอสมุดกลางของมหาวิทยาลัย ดังนั้น ในปีนี้เองสมาคมจึงได้เริ่มมีความคิดที่จะหาสถานที่ก่อสร้างอาคารสมาคมของตนเอง เพื่อให้เป็นหลักแหล่งต่อไป ไม่ต้องอยู่อย่างผู้อาศัย และไม่ทราบว่าวันใดจะต้องโยกย้ายไปที่ไหนอีก
๒๔๙๘ คณะกรรมการสมาคมซึ่งมี พล.ต.ท.พิชัย กุลละวณิชย์ เป็นนายกสมาคม ได้ดำริที่จะก่อสร้างอาคารของสมาคมขึ้น โดยติดต่อขอเช่าที่จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เนื้อที่ ๑๒ ไร่ ปรากฎว่ามหาวิทยาลัยพิจารณาแล้วกรุณาอนุมัติให้เช่าที่ดินในเขตบริเวณเพลิงไหม้ ซึ่งอยู่ระหว่างซอยจุฬาลงกรณ์ ๗ ติดกับซอย ๒ และซอย ๓ ด้านหลังโรงเก็บรถรางใกล้สะพานเหลืองเดิม เนื้อที่ทั้งหมดเพียง ๔ ไร่ ซึ่งผิดไปจากที่ประสงค์มาก ส่วนการหาเงินทุนนั้น สมาคมได้ขอบริจาคจากนิสิตเก่าทั้งหลายรายละ ๑๐๐ บาท โดยสามารถรวบรวมเงินก่อสร้างอาคารสมาคมได้ประมาณ ๘๐,๐๐๐ บาท และได้จัดให้มีการประกวดออกแบบอาคารสมาคม มีสถาปนิกของหน่วยงานที่เข้าร่วมได้แก่ กรมรถไฟ โรงงานยาสูบ และกองทัพอากาศ ปรากฎผลว่าแบบของสถาปนิกกองทัพอากาศได้รับเลือกให้เป็นแบบอาคารสมาคม
๒๔๙๙ ๓๐ มกราคม มีพิธีวางศิลาฤกษ์ก่อสร้างอาคารของสมาคมในบริเวณที่มหาวิทยาลัยได้กรุณามอบให้ โดยมี พล.อ.ท. มุนี มหาสันทนะ เวชยันตรังสฤษฎิ์ อธิการบดี เป็นประธาน มีบรรดานิสิตเก่าไปร่วมในพิธีนี้อย่างคับคั่ง

อย่างไรก็ดี เนื่องจากการก่อสร้างอาคารสมาคมใหม่มีค่าใช้จ่ายสูง จำเป็นต้องหาเงินทุนเพิ่มขึ้นตามลำดับ ทำให้ไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างได้ทันที และในระหว่างนั้น ได้มีผู้บุกรุกเข้าไปพักอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ สมาคมได้ติดต่อขอให้มหาวิทยาลัยช่วยจัดการให้ ก็ยังไม่สามารถดำเนินการได้ สมาคมเองก็ไม่มีกำลังที่จะจัดการได้เอง เพราะค่าใช้จ่ายในการขับไล่เป็นจำนวนมากจนเกินเงินทุนสร้างสมาคมที่มีอยู่ทั้งหมดเสียแล้ว ในที่สุดมหาวิทยาลัยได้ขอให้สมาคมพักการก่อสร้างไปก่อนจนกว่าพระราชบัญญัติบูรณะแหล่งเสื่อมโทรมจะได้ประกาศออกใช้เสียก่อน จึงจะสามารถดำเนินการได้

๒๕๐๒ นายวิชา เศรษฐบุตร นายกสมาคม ได้ติดตามเรื่องการสร้างอาคารสมาคมขึ้นอีก โดยพยายามติดต่อมหาวิทยาลัยเพื่อขอสถานที่ใหม่สำหรับก่อสร้าง เพราะสถานที่เดิมมีโอกาสน้อยเต็มทีที่จะให้ได้กลับคืนมา โดยได้เจรจากับมหาวิทยาลัยหลายคราว แต่ไม่ได้ข้อสรุปใดๆ นอกจากจะต้องรอคอยจนกว่าจะสามารถขับไล่ผู้บุกรุกเหล่านั้นออกไปจากบริเวณดังกล่าว ท้ายที่สุด แม้คณะกรรมการแต่ละชุดจะได้พิจารณาหาทางสร้างอาคารสมาคมให้ได้ แต่เนื่องจากความไม่แน่นอนในเรื่องที่ดิน การหาเงินทุนเพิ่มเติมจึงเป็นไปอย่างเฉื่อยชา และไม่บังเกิดผลเท่าที่ควร สุดท้าย สถานที่ที่มหาวิทยาลัยได้กรุณาให้ใช้นั้น ได้กลายเป็นสนามกีฬาของมหาวิทยาลัยไปเสียแล้ว
๒๕๐๓
  • สมาคมได้จัดกิจกรรมเพิ่มขึ้น คือ การแข่งขันฟุตบอลกับชาวคณะจังหวัดชลบุรีชิงโล่พระราชทาน โดยเก็บเงินรายได้สมทบทุนโครงการปราบโรคเรื้อนในจังหวัดนั้น และได้กระทำเป็นประเพณีสืบเนื่องมาทุกปี นับได้ว่าเป็นผลดีแก่ประชาชนในจังหวัดชลบุรีเป็นอย่างมาก เพราะทางราชการสามารถเริ่มโครงการนี้ได้เร็วกว่าที่กำหนดไว้มาก
  • ด้านนิตยสาร ได้เริ่มจัดให้มีชุมนุมจุฬาฯ ภาคผนวกเพิ่มขึ้น เพื่อส่งข่าวสารให้บรรดาสมาชิกทราบ
๒๕๐๔
  • มีการแก้ไขข้อบังคับเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้าเป็นสมาชิกให้ชัดเจนว่า ผู้ที่เคยศึกษาอยู่ในคณะหรือสาขาใดที่เคยขึ้นอยู่กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในระยะเวลาที่ยังเป็นส่วนหนึ่งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้นให้มีสิทธิที่จะเป็นได้ และแก้ไขค่าลงทะเบียน ๒๐ บาท ให้เป็นค่าเข็มสมาชิกแทน พร้อมทั้งลดค่าบำรุงตลอดชีพจาก ๑,๐๐๐ บาท ลงมาเหลือ ๖๐๐ บาท รวมทั้งให้มีวิธีการให้สมาชิกในส่วนภูมิภาคได้มีทางที่จะใช้สิทธิในการเลือกตั้งกรรมการได้ด้วย
  • มีความพยายามปรับปรุงการจัดงานในวันที่ ๒๓ ตุลาคม ซึ่งเดิมเรียกว่า “ชมพูบอล” โดยเปลี่ยนชื่อเป็น “วันจุฬาลงกรณ์” แทน ในการนี้ ได้กราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ในการงานของสมาคมเป็นครั้งแรก และหาเงินรายได้สมทบทุน “จุฬาสงเคราะห์” ให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้มีทุนเพียงพอในการพิจารณาจัดสรรเงินให้เป็นประโยชน์ต่อ มหาวิทยาลัยในเมื่อมีงานฉลองครบรอบ ๕๐ ปี นอกจากนี้ ได้มีข้อกำหนดที่จะนำแต่ผลประโยชน์จากเงินทุนนี้มาใช้ช่วยเหลือนิสิตที่ยากจนในการเล่าเรียน และคงเงินต้นไว้ นอกจากที่กล่าวมา ได้มีการปรับปรุงข้อปฏิบัติงานและระเบียบต่างๆ ของสมาคมหลายประการด้วยกัน
๒๕๐๖
  • สำหรับเงินค่าก่อสร้างอาคารของสมาคมหลังใหม่นั้น คณะกรรมการนี้สามารถได้หาเพิ่มขึ้นได้อีกจำนวนหนึ่ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ ๑๗๐,๐๐๐ บาทเศษ และมีข้อที่ควรบันทึกไว้อีกด้วยว่า ใน พ.ศ. ๒๕๐๖ นายพ่วง สุวรรณรัฐ นายกสมาคม ขณะที่นำคณะกรรมการเข้าเฝ้าถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้ทรงมีรับสั่งถามถึงกิจการที่จะสร้างสมาคมด้วยความห่วงใย และได้พระราชทานเงิน ๑,๐๐๐ บาท ร่วมทุนสร้างสมาคมอีกด้วยบรรดานิสิตเก่าทั้งหลายพึงได้รับทราบและระลึกพระมหากรุณาธิคุณโดยทั่วกัน
  • มีการแก้ไขข้อบังคับเพิ่มเติม โดยกำหนดให้คณะกรรมการแต่ละชุดมีอายุที่จะดำเนินงานได้วาระละ ๒ ปี
๒๕๐๗ ช่วงปลายปีนี้ สมาคมได้ปิดอาคารสโมสรเดิมและส่งมอบคืนให้แก่มหาวิทยาลัยเพื่อปรับปรุงและดำเนินการก่อสร้างต่อไปตามผังที่ได้วางไว้  แต่คณะกรรมการชุดปัจจุบันก็ยังได้รับความกรุณาจากมหาวิทยาลัย จัดที่ทำงานชั่วคราวของนายกสมาคมให้ พร้อมทั้งอนุญาตให้ใช้ห้องประชุมในการประชุมดำเนินงานและเป็นแหล่งกลางของการติดต่อ

               คณะกรรมการอำนวยการสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ชุดปัจจุบันคือ ประจำ พ.ศ. ๒๕๐๘ ๒๕๐๙ ได้พยายามดำเนินงานสืบเนื่องมาจากชุดก่อนๆ ตามแนวทางที่ได้รับมอบหมายไว้ และได้ปรับปรุงกิจการต่าง ให้ดียิ่งขึ้นเท่าที่เห็นควรและที่กำลังความสามารถจะมีกระทำได้ หลักใหญ่และจุดมุ่งหมายที่คณะกรรมการได้ถือเป็นนโยบายดำเนินงานก็คือ การพิจารณาดำเนินงานที่เกี่ยวกับนิสิตเก่าเองและความสัมพันธ์กับนิสิตปัจจุบัน และมหาวิทยาลัย ถ้าความร่วมมือประสานงานระหว่างหน่วยทั้ง ๓ นี้เป็นไปอย่างดีแล้ว เป็นที่เชื่อแน่ว่าจะเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้มหาวิทยาลัยของเรามีความเจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว

สมาคมมีข้อชี้แจงถึงนโยบายและข้อปฏิบัติบางประการดังนี้

๑. สมาชิกของสมาคมนี้ได้แก่ผู้ที่ดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์ ข้าราชการชั้นตรีขึ้นไปของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เคยเป็นนิสิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเรียนอยู่กี่ปีและสำเร็จหรือไม่ หากได้เคยลงทะเบียนเป็นนิสิตแล้วเป็นใช้ได้ เพราะถือว่าผู้ที่เคยเข้ามาในสถานบันนี้แล้ว ย่อมได้รับคุณลักษณะประการหนึ่งของการเป็นฯคนของมหาวิทยาลัยออกไป หรือเป็นนิสิตปัจจุบันที่สำเร็จชั้นประกาศนียบัตรหรือสูงกว่าของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยออกไป หรือเป็นนิสิตปัจจุบันที่สำเร็จชั้นประกาศนียบัตรหรือสูงกว่าของจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยมาแล้ว แม้จะยังเรียนอยู่ในแขนงวิชาที่อื่นอีก มีความประพฤติเรียบร้อย ไม่เป็นที่รังเกียจของวงการสมาคม

คำว่า “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” หมายรวมถึงบรรดาสำนักศึกษาต่างๆ ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งหรือสาขาหนึ่งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งนี้เฉพาะในระยะเวลาที่เป็นส่วนหนึ่งหรือสาขาหนึ่งเท่านั้น เช่น คณะแพทยศาสตร์ แผนกนางพยาบาลผดุงครรภ์ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาฯ แผนกวิชาหนังสือพิมพ์ เป็นต้น

๒. เนื่องด้วยสมาชิกมีอยู่มากมายและหลายรุ่นเช่นนี้ ย่อมเป็นการยากในการจัดทำทะเบียน ถึงแม้ว่าจะมีชื่อยู่ ก็หาทราบที่อยู่ไม่ สมาคมได้จัดทำเลขประจำตัวของสมาชิกขึ้น เพื่อที่จะช่วยให้ทราบได้ทันทีว่า สมาชิกผู้นี้อยู่ในคณะใด และเข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัยนี้เมื่อใด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการสอบถามและค้นหามาก การที่จะจัดทำได้เช่นนี้อยู่ที่บรรดาสมาชิกจะต้องร่วมมือแจ้งข้อความให้สมาคมทราบ

๓. สมาคมสนใจที่จะให้การติดต่อกับสมาชิกในต่างจังหวัดได้เป็นไปอย่างใกล้ชิดตลอดจนการให้โอกาสและหาวิธีการที่จะให้นิสิตเก่าในจังหวัดได้เลือกกรรมการสมาคมได้ด้วย และในจังหวัดใดที่มีนิสิตเก่าอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากก็จะสนับสนุนให้มีการก่อตั้ง “ชุมนุมนิสิตเก่าจุฬาฯ”ในจังหวัดนั้น มีฐานะเป็นสโมสรสาขาของสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์

๔. จัดการส่งเสริมและหาทุนเพิ่มเติมให้แก่ “ทุนจุฬาสงเคราะห์”ซึ่งสมาคมได้จัดให้มีขึ้นในระยะแรกที่สมาคมได้ก่อตั้งขึ้น เท่าที่แล้วมาทุนให้ประโยชน์แต่เพียงให้ทุนการศึกษาแก่นิสิตที่ขาดแคลนทรัพย์เท่านั้น ปีสุดท้ายนี้ได้ให้ทุนแก่นิสิต ๓๐ ทุน ความจริงทุนนี้มีวัตถุประสงค์กว้างขวาง อาจให้ทุนการศึกษาผู้ที่จะมาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย เพื่อทำการค้นคว้า การจัดหาอุปกรณ์การศึกษาเพิ่มเติม และแม้แต่การสร้างถาวรวัตถุ แต่เนื่องจากทุนนี้มีน้อยจึงยังมิได้ดำเนินการในด้านอื่น ขณะนี้มีทุนเหลืออยู่ ๕๖๖,๘๙๖.๐๓ บาท

๕. ส่งเสริมการกีฬาให้เจริญก้าวหน้า สมาคมได้เคยตั้งทุน “นิสิตเก่าส่งเสริมการกีฬา” ไว้แล้วตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๕ แต่ก็ยังไม่สามารถดำเนินการได้เต็มที่ จากการประชุมกลุ่มนักกีฬาในปีนี้ มีความเห็นว่าจะต้องมีการแก้ไขตั้งแต่นักกีฬาของสมาคมยังเป็นนิสิตปัจจุบันอยู่ในปีแรก ๆ เห็นความที่จะได้ปรึกษาขอความเห็นและความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยต่อไป

๖. จัดการหาทุนสร้างอาคารสมาคมให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ สมาคมก่อตั้งมาได้ครบ ๒๐ ปีแล้ว สมควรที่จะมีสถานีที่อยู่เป็นหลักแหล่งและสามารถดำเนินการให้เป็นปึกแผ่น ให้เป็นประโยชน์ต่อสมาชิกและต่อมหาวิทยาลัย รวมทั้งต่อนิสิตรุ่นน้องๆ นโยบายของสมาคมมิได้มุ่งหวังในเรื่องการบันเทิงแต่ประการเดียว หากแต่มุ่งหวังจะกระทำการให้เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองด้วยเป็นประการสำคัญ ที่ทำการของสมาคมนิสิตเก่าจะเป็นสถานที่ของสมาคมวิชาชีพต่าง ๆ ที่เป็นแขวงหนึ่งของมหาวิทยาลัยนี้ด้วยเช่นสมาคมวิทยาศาสตร์สมาคมวิศวกรรมสถาน สมาคมสถาปนิกแห่งประเทศไทย หรือกลุ่มคณะอื่นๆ ที่จะมาใช้ประชุมในสถานที่นี้ด้วย เรื่องใดที่เป็นเรื่องของสังคม การบันเทิง และกิจการโดยทั่วไป สมาคมนิสิตเก่าก็จะเป็นผู้ดำเนินการ ส่วนใหญ่แล้วสมาชิกของสมาชิกของสมาคมในกลุ่มวิชาการก็คือสมาชิกของสมาคมนิสิตเก่านั้นเอง

               เจตนาของคณะกรรมการ ชุดนี้ตั้งใจที่จะริเริ่ม การก่อสร้างอาคาร สมาคมให้ดำเนินต่อไปจนบรรลุผลสำเร็จ ดังปรากฏในคำกราบบังคมทูลในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสร็จในงาน “วันจุฬาลงกรณ์” พ.ศ. ๒๕๐๙ นี้ว่า

               “เนื่องจากสมาคมได้ก่อตั้งมาเป็นเวลากว่า ๒๐ ปีแล้ว ยังไม่มีอาคารสำนักงานสถานที่พบกันระหว่างสมาชิกเป็นหลักแห่งถาวร ได้เคยมีการริเริ่มจะสร้างกันมาครั้งหนึ่งเมื่อ ๑๐ ปีมาแล้ว แต่ยังไม่สำเร็จ ประสบแต่อุปสรรนานาประการ บัดนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะมีอายุครบ ๕๐ ปี ในวันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ คณะกรรมการชุดปัจจุบันจึงเห็นสมควรที่จะฟื้นฟูความคิดที่จะสร้างอาคารขึ้นอีก เพื่อให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์เดิม สำหรับสถานที่มหาวิทยาลัยได้จัดแบ่งเขตให้แล้ว สำหรับทุนในการก่อสร้างจะขอแล่งเงินรายได้ส่วนหนึ่งจัดการดำเนินงานนี้ และหาทุนเพิ่มเติมไปรวมกับเงินทุนที่บรรดาสมาชิกได้บริจาคไว้แล้วจำนวน ๒๓๑,๐๐๐ บาท ด้วยเดชะพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้ามีความหวังว่า ทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จเป็นผลแน่นอนในคราวนี้..”

               ขณะนี้สมาคมมีเงินทุนในการสร้างสมาคมเพิ่มขึ้นเป็น ๓๐๐,๐๐๐ บาท และหวังว่าบรรดานิสิตเก่าทั้งหลาย คงจะพร้อมใจกันให้ความตั้งใจนี้สำเร็จลงได้ด้วยดี

พระนามและนามนายกสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์

 พ.ศ. ๒๔๘๙  พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร
 พ.ศ. ๒๔๙๐  พระยาสุนทรพิพิธ
 พ.ศ. ๒๔๙๑  พระยาไชยยศสมบัติ
 พ.ศ. ๒๔๙๒  นายสุกิจ นิมมานเหมินท์
 พ.ศ. ๒๔๙๓-๒๔๙๔  พระยารามราชภักดี
 พ.ศ. ๒๔๙๕-๒๔๙๗  พลอากาศโท มุนี มหาสันทนะ เวชยันตรังสฤษฎิ์
 พ.ศ. ๒๔๙๘-๒๔๙๙  นายพลตำรวจโท พิชัย กุลละวณิชย์
 พ.ศ. ๒๕๐๐  นายกาญจนะ เฮงสุวณิช
 พ.ศ. ๒๕๐๑  นายพันตำรวจเอก จรัส วงศาโรจน์
 พ.ศ. ๒๕๐๒  นายวิชา เศรษฐบุตร
 พ.ศ. ๒๕๐๓  นายชู ประภาสถิตย์
 พ.ศ. ๒๕๐๔  น.ต.กำธน สินธวานนท์
 พ.ศ. ๒๕๐๕-๒๕๐๗  นายพ่วง สุวรรณรัฐ
 พ.ศ. ๒๕๐๘-๒๕๐๙  น.ต.กำธน สินธวานนท์
 พ.ศ. ๒๕๑๐-๒๕๑๑  นายเกยูร ลิ่มทอง
 พ.ศ. ๒๕๑๒-๒๕๑๓  นายวิชา เศรษฐบุตร
 พ.ศ. ๒๕๑๔-๒๕๑๗  ศาสตราจารย์ ดร.บุญรอด บิณฑสันต์
 พ.ศ. ๒๕๑๘-๒๕๑๙  นายเฉลิม ประจวบเหมาะ
 พ.ศ. ๒๕๒๐-๒๕๒๑  ศาสตราจารย์ ดร.บุญรอด บิณฑสันต์
 พ.ศ. ๒๕๒๒-๒๕๒๕  นายอำนวย อุดมศิลป์
 พ.ศ. ๒๕๒๖-๒๕๒๙  ดร.วีระ ปิตรชาติ
 พ.ศ. ๒๕๓๐-๒๕๓๓  นายพิศาล มูลศาสตรสาทร
 พ.ศ. ๒๕๓๔-๒๕๓๗  พลอากาศเอก นายแพทย์ประกอบ บุรพรัตน์
 พ.ศ. ๒๕๓๘-๒๕๓๙  นายอารีย์ วงศ์อารยะ
 พ.ศ. ๒๕๔๐-๒๕๔๓  ดร.พิจิตต รัตตกุล
 พ.ศ. ๒๕๔๔-๒๕๔๕  นายวิบูลย์ คูหิรัญ
 พ.ศ. ๒๕๔๖-๒๕๔๙  ดร.อดิศัย โพธารามิก
 พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๑  นายชัยสวัสดิ์ กิตติพรไพบูลย์
 พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๓  นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ
 พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๗  นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์
 พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๕๙  นายเทวินทร์ วงศ์วานิช
 พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๑  นายสหรัฐ บุญโพธิภักดี
 พ.ศ. ๒๕๖๒- ปัจจุบัน  นายวิบูลย์ ฤกษ์ศิระทัย