ย้อนรอยฟุตบอลประเพณี
จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์
งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์เป็นกิจกรรมที่เหล่านิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ล้วนเฝ้าคอยที่จะเข้าไปมีส่วนร่วม ทั้งขณะกำลังศึกษา รวมถึงเมื่อต่างเป็นนิสิตเก่าและนักศึกษาเก่า ซึ่งวันงานฟุตบอลประเพณีเป็นวันที่ทุกคนได้กลับมารวมพลังแห่งความรักและความรักและความสมัคคีระหว่างเพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมสถาบันกันอีกครั้งหนึ่ง
งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ จัดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๔๗๗ จากความคิดของนิสิตและนักศึกษากลุ่มหนึ่งซึ่งเคยศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนเดียวกันคือโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ประกอบด้วยนายทองต่อ ยมนาค (พลตำรวจโทต่อศักดิ์ ยมนาค) และนายบุศย์ สิมะเสถียร จากมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง นายทอม จอห์สัน (นายปถม ชาญสรรค์) นายประสงค์ ชัยพรรค และนายประยุทธ สวัสดิสิงห์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้ปรึกษาหารือกันด้วยความปรารถนาจะให้นิสิตและนักศึกษา ๒ มหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดของประเทศในขณะนั้น มีความรักใคร่กลมเกลียว เพื่อจะได้ร่วมกันสร้างสรรค์ประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติต่อไปในอนาคต โดยเล็งเห็นตัวอย่างจากการแข่งขันเรือประเพณีของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์แห่งสหราชอาณาจักรแต่คณะผู้ริเริ่มเคยเป็นนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียนมาก่อน จึงได้ตกลงที่จะจัดการแข่งขันฟุตบอลประเพณีขึ้น
ผู้ริเริ่มฝ่ายมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองได้เสนอเรื่องต่อผู้ประศาสน์การในขณะนั้นคือ ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ผ่านศาสตราจารย์ ดร.เดือน บุนนาค เลขาธิการ ส่วผู้ริเริ่มฝ่ายจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เสนอเรื่องต่ออธิการบดี ฝ่ายสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งหม่อมราชวงศ์สุมนชาติ สวัสดิกุล (ศาสตราจารย์ หม่อมราชวงศ์สุมนชาติ หม่อมราชวงศ์สลับลดาวัลย์เป็นผู้ดูแล เมื่อได้รับอนุมัติจากทั้ง ๒ ฝ่าย มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองได้ทำหนังสือเชิญจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเข้าร่วมการแข่งขันและรับเป็นเจ้าภาพครั้งแรกโดยจัดการแข่งขันขึ้นที่สนามหลวง (ทุ่งพระเมรุ) ในวันอังคารที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ เก็บค่าผ่านประตูคณะละ ๑ บาท นำรายได้บริจาคบำรุงสมาคมปราบวัณโรค ซึ่งเป็นโรคร้ายแรงในขณะนั้น และถือเป็นธรรมเนียมที่จะนำรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจากการจัดงานทุกปี บริจาคบำรุงการกุศลสาธารณะ อาทิ บริจาคบำรุงสภากาชาดไทย บริจาคสงเคราะห์ผู้ประสบอัคคีภัย บริจาคบำรุงกรมอากาศยานทหารบก (กองทัพอากาศ) บริจาคสมทบทุนอนันทมหิดล เป็นต้น รวมทั้งบริจาคสมทบทุนทุนการศึกษาของนิสิตและนักศึกษาทั้ง ๒ สถาบัน และตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ เป็นต้นมาก็ได้นำรายได้ทูลเกล้าฯ ถวายโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัยด้วย
งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ครั้งแรกมีผู้เข้าชมจำนวนไม่มากนัก เนื่องจากมีการประชาสัมพันธ์ในช่วงสั้นๆ เท่านั้น การเชียร์ยังไม่มีรูปแบบใด นอกจากไปยืนเชียร์ริมสนามเป็นกลุ่มๆ เพราะไม่มีอัฒจันทร์ โดยฝ่ายจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะยึดขอบสนามขวา ส่วนฝ่ายมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองจะยึดขอบสนาม ผลการแข่งขันเสมอ ๑ ต่อ ๑ แต่นักฟุตบอลสมัยนั้นก็เป็นนักฟุตบอลทีมชาติกันหลายคน มาจากสโมสรต่างๆ อาทิ จากทีมชายสด กรมไปรษณีย์โทรเลข ซึ่งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองจะมีนักฟุตบอลทีมชาติมากกว่า เพราะเป็นมหาวิทยาลัยเปิด รายชื่อผู้เล่นของ ๒ มหาวิทยาลัยในครั้งแรกมีดังนี้
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
|
มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง |
นายสมัย สารคุณ |
|
นายอนันต์ พัฒนะ |
นายทอม จอห์นสัน |
|
นายเส็ง อ๊วงตระกูล |
นายมาลา ศีตะจิตต์ |
|
นายทองต่อ ยมนาค |
นายเอี่ยม ชื่นมนัส |
|
นายสาย กำไลนาค |
หม่อมราชวงศ์ปราณเนาวศรี นวรัตน์ |
|
นายประภาส จิระเสวี |
นายประยุทธ สวัสดิสิงห์ |
|
นายทวี ฉัตรเนตร |
นายรัศมี สุทธิคำ |
|
นายสิทธิ ธรรมพานิช |
นายชุด อยู่สวัสดิ์ |
|
นายประไพ สวัสดิ-ชูโต |
นายพิมล กลกิจ |
|
นายบุศย์ สิมะเสถียร |
นายพนม จักกะพาก |
|
นายเล็ก ดีคำโปส |
นายสนิท โชติเวช |
|
นายละออ เมฆทางกลด |
นายอรุณ รัตตะรังสี |
|
|
สำหรับงานฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ ๒ และครั้งที่ ๓ ได้มีผู้เข้าร่วมเล่นพิเศษเป็นอาจารย์คือ ศาสตราจารย์ ดร.คลุ้ม วัชโรบล และหลวงศรีสมัทวิชากิจ
งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ ๒ ถึงครั้งที่ ๔ ได้ย้ายจากสนามหลวงมาจัด ณ สนามโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เพราะมีรั้วรอบขอบชิด สามารถเก็บเงินจากผู้ชมได้สะดวกและเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น เมื่อถึงครั้งที่ ๕ ปีพ.ศ. ๒๔๘๑ ก็ได้ย้ายมาจัดที่สนามศุภชลาศัยเรื่อยมา เฉพาะครั้งที่ ๔๑, ๔๒, และ ๔๔ เท่านั้นที่จัดขึ้น ณ สนามจารุเสถียร เนื่องจากสนามศุภชลาศัยปิดปรับปรุง
งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ได้จัดขึ้นทุกปียกเว้นช่วงที่บ้านเมืองมีเหตุการณ์ไม่เอื้ออำนวย รวม ๑๑ ครั้งได้แก่
- ปีพ.ศ. ๒๔๘๕ – เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในพระนคร
- ปีพ.ศ. ๒๔๘๗-๒๔๙๑ – เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา
- ปีพ.ศ. ๒๔๙๔ – เกิดกบฎแมนฮัตตัน
- ปีพ.ศ. ๒๕๑๕-๒๕๑๘ – เกิดเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖
- ปีพ.ศ. ๒๕๒o – เกิดเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙
แม้จะงดเว้นไปบางปีจนทำให้ ๗๔ ปี ที่ผ่านมา มีการจัดงานฟุตบอลประเพณี จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ๖๓ ครั้ง แต่งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ก็มีการพัฒนาการอย่างต่อเนื่องมาตามลำดับ อาทิ ในครั้งที่ ๒ การเชียร์ของฝั่งจุฬาฯ นิสิตหญิงมีการสวมถุงเท้าสีชมพูและโบกผ้าสีชมพู พอตื่นเต้นก็ตะโกนร้องว่า ชู้ต ชู้ต ชู้ต หลังจากนั้นในครั้งที่ ๓ การเชียร์ของฝั่งธรรมศาสตร์ได้มีการแจกธงสีเหลืองแดงสำหรับโบกรวมถึงหมวกหนีบทำด้วยผ้าสีแดงสำหรับสวมมีกองเชียร์ประมาณ ๓oo คน ตั้งแถวบริเวณถนนหน้าโดม เช่ารถเมล์ขนาดกลางประมาณ ๔-๕ คันไปส่งที่สนาม และนักศึกษาบางส่วนก็ไปที่สนาม เสื้อเชียร์ทำจากเสื้อขาว นำมาย้อมสีเหลืองแล้วเอาผ้าสีแดงเย็บทาบลงไปรอบตัว เช่นเดียวกับเสื้อเชียร์ของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ในเวลาต่อมามีการนำเสื้อไปย้อมสีชมพู ยกเว้นนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์จะนำเสื้อไปย้อมสีกรมท่า ด้วยเป็นธรรมเนียมสากลว่า วิศวกรจะต้องใส่เสื้อช้อปสีน้ำเงิน ต่างจากในปัจจุบันที่มีการผลิตและจำหน่ายเสื้อเชียร์เป็นการเฉพาะทั้ง ๒ มหาวิทยาลัย แต่ยังคงใช้สีเสื้อตามสีประจำมหาวิทยาลัยคือ สีชมพูของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและสีเหลืองแดงของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
การเชียร์ในระยะแรกจะนำโดยประธานเชียร์ของมหาวิทยาลัย ส่วนผู้ช่วยคือสตาฟฟ์เชียร์ ซึ่งบางส่วนจะเป็นเชียร์ลีดเดอร์ด้วย เชียร์ลีดเดอร์นั้นจะเป็นผู้นำเชียร์ที่กองเชียร์จะร้องเพลงตามการให้จังหวะปรบมือ และจะมีแต่เชียร์ลีดเดอร์ชาย จนถึงงานฟุตบอลประเพณี จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ ๒๕ ปีพ.ศ.๒๕๖๘ จึงเริ่มมีเชียร์ลีดเดอร์ผู้หญิงเข้ามาการแต่งกายในยุคนั้นทั้งชายและหญิงจะแต่งตัวเหมือนกันใส่ชุดเรียบง่าย จุดเด่นของงานจะอยู่ที่ดรัมเมเยอร์มากกว่า จนระยะต่อมาดรัมเมเยอร์เริ่มหายไป เชียร์ลีดเดอร์มีการพัฒนาเครื่องแต่งกายให้แปลกใหม่และสวยงาน มีการคิดค้นท่าเต้นที่หลากหลาย โดยอาศัยพื้นฐานจากนาฎศิลป์ไทยโมเดิร์นดานซ์ บัลเลต์ และตำรวจจราจร รวมทั้งต้องมีการฝึกซ้อมมากขึ้น และมีการเปิดรับสมัครนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยมาเป็นเชียร์ลีดเดอร์แทนการสรรหาโดยรุ่นพี่ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ก็ยังคงใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน
ส่วนขบวนพาเหรดนั้นมีขึ้นอย่างจริงจังในงานฟุตบอลประเพณี จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ ๕ ปีพ.ศ. ๒๔๘๑ เมื่อย้ายมาจัด ณ สนามศุภชลาศัย ซึ่งเป็นสนามกีฬาแห่งชาติ มีพื้นที่กว่างขวางโดยขบวนพาเหรดสมัยก่อนจะมีความยาวมากประกอบด้วยดรัมเมเยอร์ วงดุริยางค์ ขบวนนิสิตนักศึกษา รวมทั้งขบวนล้อการเมือง ต่อมาได้มีการลดขบวนลงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์เอาไว้ โดยเฉพาะการล้อการเมืองซึ่งได้กลายมาเป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่งในงานฟุตบอลประเพณี จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ และได้รับการติดตามจากบุคคลทั่งไปอย่างมากในยามที่เสรีภาพในการเสนอข่าวสารการเมืองยังถูกปิดกั้น แต่ก่อนจะมีการล้อการเมืองเกิดขึ้นขบวนพาเหรดก็ดได้มีการล้อกันระหว่าง ๒ มหาวิทยาลัยอยู่แล้วสำหรับลำดับของขบวนพาเหรด ฝ่ายเจ้าภาพจะให้เกียรติอีกฝ่ายหนึ่งเดินเข้าสนามก่อน เช่นเดียวกับชื่องานที่หากฝ่ายใดเป็นเจ้าภาพก็จะชื่อขึ้นก่อนคือ งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ หรืองานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ
การแปรอักษรอันเป็นอันอีกหนึ่งจุดเด่นของงานเริ่มขึ้นในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ ๑๒ ปีพ.ศ. ๒๔๙๔ ซึ่งเป็นปีแรกที่ทีมชนะเลิศจะได้รับถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นปีแรกที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานส่วนก่อนหน้านั้นได้มีการกราบทูลเชิญประธานคณะผู้สำเร็จราชการในพระองค์ทรงเป็นประธานตั้งแต่ครั้งที่ ๒ และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ ๑o ปีพ.ศ. ๒๔๙๒ และงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ ๑๑ ปีพ.ศ. ๒๔๙๓ ซึ่งได้พระราชทานถ้วยรางวัลด้วย จุดเริ่มแรกของการแปรอักษรบนอัฒจันทร์นั้นมาจากนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งเลิกเรียนในตอนเช้า แล้วยังใส่เสื้อสีกรมท่าอยู่ มานั่งเชียร์เกาะกลุ่มเป็นรูปพระเกี้ยววางตั้งอยู่บนพานทั้งหมดเป็นสีน้ำเงิน และมีพื้นเป็นกองเชียร์จุฬาฯ ใส่เสื้อสีชมพู ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาการแปรอักษรก็ได้มีพัฒนาการขึ้นมาเรื่อยๆ เช่นในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ ๑๘ ปีพ.ศ. ๒๕o๑ ได้มีการแปรอักษรเป็นคำว่า จุฬาฯ มธก.ภปร.ซียู และทียู และใส่เสื้อสีดำไว้ข้างใน แล้ใช้เปิดตัวอักษรเป็นตัวเขียน และให้ถอดเสื้อที่สวมข้างนอกออกเป็นจังหวะภายหลังพัฒนาจากการแปรเป็นตัวอักษรมาเป็นการแปรเป็นภาพ โดยครั้งที่โดดเด่นมากคือ งานฟุตบอลประเพณี ครั้งที่ ๒o ปีพ.ศ. ๒๕o๓ ที่มีการแปรเป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ใช้โค้ค ๑ ต่อ ๑ ที่เวลาต่อมามีการดัดแปลงเป็นโค้ด ๑ ต่อ ๙ ๑ ต่อ ๑๖ และ ๑ ต่อ ๗๒ ในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ ๓๘ ปีพ.ศ. ๒๕๒๕ การแปรตัวอักษรยังมีการนำไฟฉายมาใช้ รวมถึงมีการแปรอักษรเป็นถ้วยคำตอบโต้กันระหว่าง ๒ มหาวิทยาลัยซึ่งต้องมีการคาดเดาคำถามคำตอบไว้ล่วงหน้าด้วย ในส่วนของการปรบมือก็มีการพัฒนาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เช่น โค้ดปรบมือเป็นภาพ ๒-๓ ภาพ วนไปวนมาด้วยท่าปรบมือ ๔ ท่าคือ ปรบเข้า ปรบออก ปรบเข้าแล้วปรบลง แบ่งออกเป็น ๖ จังหวะ ๑-๖ การปรบมือได้เปลี่ยนแปลงไปกระทั่งทำให้เกิดภาพอย่างต่อเนื่อง เช่น ภาพคนวิ่งจากขวาไปซ้าย ซึ่งมีลักษณะเหมือนภาพยนตร์ที่ฟิล์มแต่ละช่วงเคลื่อนไปอย่างช้าๆ นอกจากนี้ งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ยังก่อให้เกิดเพลงเชียร์มากมายที่นิสิตนักศึกษาขับร้องสืบทอดกันมา
ในอดีตกิจกรรมต่างๆ ในทุกระดับยังมีอยู่ไม่มากศูนย์การค้ามีอยู่ไม่กี่แห่ง การแข่งขันฟุตบอลเองก็มีอยู่ไม่กี่นัดงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสร์จึงไม่ได้เป็นกิจกรรมใหญ่ของ ๒ มหาวิทยาลัยเท่านั้น หากเป็นกิจกรรมใหญ่ของกรุงเทพมหานคร ในตอนเช้าของวันงานนิสิตนักศึกษาจะพากันขับรถเปิดประทุนวนรอบเมือง เมื่อเจอกันก็จะร้องเพลงเชียร์ใส่กัน แต่ต่อมาได้เปลี่ยนแปลงเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ร่วมกัน เช่น การกวาดถนน ซึ่งในปัจจุบันก็ยังคงรักษาการบำเพ็ญประโยชน์นี้ไว้ แต่ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบของกิจกรรม เช่น มีการจัดกิจกรรมเลือดไม่แบ่งสี โดยนิสิตนักศึกษาร่วมกันบริจาคโลหิตให้แก่สภากาชาดไทย เป็นต้น
แม้ว่าในปัจจุบัน งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ จะไม่ได้เป็นกิจกรรมใหญ่ระดับจังหวัดหรือระดับประเทศเหมือนเมื่อก่อน แต่ยังคงเป็นกิจกรรมที่นิสิตนักศึกษา และคณาจารย์ทุกๆ รุ่นของทั้ง ๒ มหาวิทยาลัย ยึดถือเป็นประเพณีที่จะต้องรักษาเอาไว โดยเสียสละทุ่มเทกันจัดงานมาถึง ๗๔ ปี ๖๔ ครั้ง การที่กิจกรรมใดจะคงอยู่ได้เป็นระยะเวลายาวนานเช่นนี้ กิจกรรมนั้นต้องเป็นกิจกรรมที่มีคุณค่าต่อผู้มีส่วนร่วมทุกคน ซึ่งคุณค่าของงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์นี้ไม่ได้อยู่ที่ผลการแข่งขันว่า มหาวิทยาลัยใดจะเป็นฝ่ายชนะ แต่อยู่ที่จุดมุ่งหมายของผู้ร่วมริเริ่มก่อตั้งนั่นคือ ความสามัคคี อันสอดคล้องกับพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานแก่พสกนิกรในปีมหามงคลที่ผ่านมา หากนิสิตนักศึกษาทุกคนได้ย้อนมองกลับไปค้นหาแก่นแท้ของงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ตั้งแต่อดีต แล้วนำข้อคิดนั้นมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตให้ทุกคนมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ประเทศไทยของเราย่อมมีความวัฒนาสถาพรตลอดไป และท่านก็ย่อมได้ชื่อว่า เป็นนิสิตและนักศึกษาแห่ง ๒ สถาบันการศึกษาอันทรงเกียรตินี้อย่างนี้อย่างแท้จริง
อนุทินการแข่นขันฟุตบอลประเพณี
จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์
ครั้งที่ |
วันที่ |
ผลการแข่งขัน |
จำนวนประตู |
ครั้งที่ |
วันที่ |
ผลการแข่งขัน |
จำนวนประตู |
๑ |
๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ |
เสมอ |
๑-๑ |
๓๓ |
๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๙ |
ธรรมศาสตร์ชนะ |
๒-๑ |
๒ |
พ.ศ. ๒๔๗๘ |
เสมอ |
๓-๓ |
๓๔ |
๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๑ |
ธรรมศาสตร์ชนะ |
๒-o |
๓ |
พ.ศ. ๒๔๗๙ |
ธรรมศาสตร์ชนะ |
๔-๑ |
๓๕ |
๒o ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ |
จุฬาฯ ชนะ |
๒-o |
๔ |
พ.ศ. ๒๔๘o |
ธรรมศาสตร์ชนะ |
๒-๑ |
๓๖ |
๒o มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๓ |
เสมอ |
o-o |
๕ |
พ.ศ. ๒๔๘๑ |
ธรรมศาสตร์ชนะ |
๒-๑ |
๓๗ |
๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๔ |
เสมอ |
๑-๑ |
๖ |
พ.ศ. ๒๔๘๒ |
เสมอ |
o-o |
๓๘ |
๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๕ |
เสมอ |
๒-๒ |
๗ |
พ.ศ. ๒๔๘๓ |
เสมอ |
๒-๒ |
๓๙ |
๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๖ |
เสมอ |
๑-๑ |
๘ |
พ.ศ. ๒๔๘๔ |
จุฬาฯ ชนะ |
๒-o |
๔o |
๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๗ |
ธรรมศาสตร์ชนะ |
๑-o |
๙ |
พ.ศ. ๒๔๘๖ |
จุฬาฯ ชนะ |
๓-๑ |
๔๑ |
๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๘ |
เสมอ |
๑-๑ |
๑o |
๓o ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ |
ธรรมศาสตร์ชนะ |
๓-๒ |
๔๒ |
๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๙ |
เสมอ |
๑-๑ |
๑๑ |
๓o ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ |
จุฬาฯ ชนะ |
๕-๓ |
๔๓ |
๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓o |
ธรรมศาสตร์ชนะ |
๑-o |
๑๒ |
๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ |
เสมอ |
o-o |
๔๔ |
๓o มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๑ |
จุฬาฯ ชนะ |
๒-๑ |
๑๓ |
๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๖ |
ธรรมศาสตร์ชนะ |
๓-๑ |
๔๕ |
๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๒ |
จุฬาฯ ชนะ |
๒-๑ |
๑๔ |
๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ |
จุฬาฯ ชนะ |
๑-o |
๔๖ |
๒o มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๓ |
เสมอ |
๑-๑ |
๑๕ |
๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ |
เสมอ |
๒-๒ |
๔๗ |
๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๔ |
เสมอ |
o-o |
๑๖ |
๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ |
เสมอ |
o-o |
๔๘ |
๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๕ |
เสมอ |
๑-๑ |
๑๗ |
๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕oo |
ธรรมศาสตร์ชนะ |
๓-๑ |
๔๙ |
๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๖ |
ธรรมศาสตร์ชนะ |
๒-๑ |
๑๘ |
๒o ธันวาคม พ.ศ. ๒๕o๑ |
จุฬาฯ ชนะ |
๓-๒ |
๕o |
๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๗ |
เสมอ |
๒-๒ |
๑๙ |
๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕o๒ |
ธรรมศาสตร์ชนะ |
๒-๑ |
๕๑ |
๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๘ |
จุฬาฯ ชนะ |
๒-๑ |
๒o |
๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕o๓ |
เสมอ |
๑-๑ |
๕๒ |
๒o มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๙ |
ธรรมศาสตร์ชนะ |
๑-o |
๒๑ |
๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕o๔ |
เสมอ |
๑-๑ |
๕๓ |
๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔o |
เสมอ |
๑-๑ |
๒๒ |
๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕o๕ |
เสมอ |
o-o |
๕๔ |
๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๑ |
เสมอ |
o-o |
๒๓ |
๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕o๗ |
ธรรมศาสตร์ชนะ |
๓-๑ |
๕๕ |
๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๒ |
จุฬาฯ ชนะ |
๒-๑ |
๒๔ |
๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕o๗ |
ธรรมศาสตร์ชนะ |
๓-o |
๕๖ |
๑๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๓ |
เสมอ |
o-o |
๒๕ |
๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕o๘ |
ธรรมศาสตร์ชนะ |
๒-๑ |
๕๗ |
๒o มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๔ |
จุฬาฯ ชนะ |
๒-o |
๒๖ |
๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕o๙ |
ธรรมศาสตร์ชนะ |
๒-o |
๕๘ |
๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๕ |
เสมอ |
๒-๒ |
๒๗ |
๓o ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑o |
เสมอ |
๑-๑ |
๕๙ |
๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๖ |
เสมอ |
o-o |
๒๘ |
๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ |
จุฬาฯ ชนะ |
๒-o |
๖o |
๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗ |
เสมอ |
o-o |
๒๙ |
๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ |
ธรรมศาสตร์ชนะ |
๑-o |
๖๑ |
๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๘ |
ธรรมศาสตร์ชนะ |
๑-o |
๓o |
๓o ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ |
เสมอ |
o-o |
๖๒ |
๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙ |
จุฬาฯ ชนะ |
๒-o |
๓๑ |
๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ |
ธรรมศาสตร์ชนะ |
๔-o |
๖๓ |
๒o มกราคม พ.ศ. ๒๕๕o |
เสมอ |
|
๓๒ |
๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ |
|
|
|
|
|
|